แจ้งกำนดการการรับวัคซีนประจำเดือน สิงหาคม 2555
วันที่ 15 สิงหาคม 2555 เวลา 08.00 - 12.00 น.
ที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาพู่
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555
งดเหล้าเข้าพรรษามหากุศล
ปี 2555 นับเป็นปีมหามงคลยิ่ง เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะโอกาสฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การงดเหล้าเข้าพรรษาจึงนับเป็นอีกโอกาสอันดีที่ชาวไทยพุทธจะถือโอกาสปีดี ปีมหามงคลนี้อยู่ในศีลในธรรม
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.ได้ริเริ่มจัดโครงการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษามาตั้งแต่ปี 2546 ต่อเนื่องมาในปีนี้เป็นปีที่ 10 จึงได้จัดโครงการ 2,600องค์กร 2,600ครอบครัวและ 2,600คนต้นแบบ งดเหล้าเข้าพรรษามหากุศล
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส.กล่าวว่า การรณรงค์งดเหล้าดำเนินงานมาถึง 10 ปีแล้ว ในช่วงปีแรกที่เริ่มดำเนินงานนับว่าเกิดกระแสตื่นตัวอย่างมาก จากที่ในช่วงนั้นคนไทยลืมงดเหล้าเข้าพรรษาไป ทั้งๆ ที่อดีตนับเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ ซึ่งจนถึงวันนี้ น่าดีใจมาก ที่คนไทย 50%เข้าร่วมงดเหล้า โดย 80%เห็นด้วยกับงานนี้ โดยจากการสำรวจผลการดำเนินงานโครงการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาช่วง 9 ปีที่ผ่านมา โดยเอแบคโพล พบว่า มีประชาชน ร้อยละ 81.1 เห็นด้วยกับโครงการนี้ และร้อยละ 50.6 เกิดความตระหนักในพิษภัย และพยายามลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยในปี 2546 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มรณรงค์ มีผู้ร่วมงดเหล้าเข้าพรรษา ร้อยละ 40.6 ต่อมาในปี 2554 ได้เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 53.3 จากจำนวนผู้ดื่มทั้งหมด 17 ล้านคน โดยเป็นผู้ร่วมงดเหล้าเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน ประมาณ ร้อยละ 30 ของผู้ที่ดื่มทั้งหมด ประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,857.3 บาทต่อคน รวมทุกคนที่งดดื่ม สามารถประหยัดเงินได้ 31,574 ล้านบาท การงดเหล้าทำให้ครอบครัวมีความอบอุ่น พ่อ-แม่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชน ช่วยลดปัญหาทางสังคม
หากเอ่ยชื่อนายนรินทร์ แป้นประเสริฐ อาจไม่คุ้นหูนัก แต่สำหรับชาวชุมชนวัดโพธิ์เรียง ลุงนรินทร์ด้วยวัย 50 ปี กับตำแหน่งประธานชุมชนวัดโพธิ์เรียง กทม.เป็นบุคคลที่น่ายกย่องและเป็นต้นแบบอย่างมาก โดยเฉพาะการริเริ่มงดเหล้า
ลุงนรินทร์เล่าว่า ดื่มเหล้ามาตั้งแต่อายุ 18 ปี จนเมื่อปี 2540 ตัดสินใจทำบัตรเครดิตไว้สำหรับจ่ายค่าเหล้าเพียงอย่างเดียว ตกเดือนละเป็นหมื่นบาท เพราะช่วงนั้นติดเพื่อน ดื่มเหล้าเข้าสังคมเป็นประจำ ต่อมาในชุมชนมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ก็ใช้การรณรงค์ให้คนหันมาดื่มเหล้าดีกว่ายาเสพติด เพราะคิดว่าเหล้าเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับรุนแรงมากกว่าเดิม ยาเสพติดก็ไม่หมดไป เพราะยิ่งคนดื่ม ก็ยิ่งสร้างปัญหาสังคมมากขึ้น ทั้งทะเลาะวิวาท การลักขโมย จนกระทั่งปี 2550 ที่ต้องทำงานร่วมกับชุมชน จึงคิดหาทางแก้ปัญหาโดยใช้หลักคิดว่าหากจะให้ยาเสพติดหมดไป ต้องเริ่มที่การเลิกเหล้าให้ได้ก่อน ดังนั้นจึงทำเป็นแบบอย่างให้กับคนในชุมชนปฏิบัติตาม
“ผมก็เริ่มจากตัวเราเอง จัดงานบวชลูกชายผมจัดเป็นงานบวชปลอดเหล้า พิมพ์ในการ์ดเลยว่าไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใหม่ๆ ก็กลัวว่าจะไม่มีคนมา เพราะในงานไม่มีเหล้า ปรากฏว่าคนมาเต็มงาน ผมจัดโต๊ะจีน 50 โต๊ะ แล้วลองคิดดูว่าหากวันนั้นผมมีเหล้าในงาน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 600 บาทต่อโต๊ะ ซึ่งเห็นชัดเจนเลยว่าผมประหยัดไปได้เยอะ ซึ่งก็มีแต่คนมาชื่นชม คนในชุมชนก็ทำตามเรา เห็นเราเป็นแบบอย่าง ตอนหลังปี 52 ผมเริ่มคุยกับร้านค้าในชุมชน 25 ร้านให้ปฏิบัติตามกฎหมายเรื่องการควบคุมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุดท้ายทุกร้านยินยอมปฏิบัติตาม แม้แรกๆ จะได้คำตอบว่าหากฉันทำแล้วร้านอื่นไม่ทำอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งผมต้องใช้เวลาเป็นปีในการสร้างความเข้าใจจนทุกร้านยอมปฏิบัติตาม ถึงวันนี้ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นก็ไม่เกิด ครอบครัวที่มีพ่อแม่ดื่มเหล้าก็ลดลง ลูกก็ได้ไปโรงเรียนตามปกติ เยาวชนในชุมชนก็มาพูดคุยกันมากขึ้น”ลุงนรินทร์กล่าว
ลุงนรินทร์ ยังกล่าวฝากไปถึงผู้นำชุมชนคนอื่นว่า “ผมให้กำลังใจครับว่าเรื่องแบบนี้ต้องเริ่มที่ผู้นำก่อน ถ้าเราควบคุมในชุมชนได้ ชัดเจนว่าปัญหาในชุมชนจะลดลงเลย ชุมชนเข้มแข็งไม่ใช่ว่าคนอื่นมาช่วย แต่หากเราให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมนั้นจะทำให้เข้มแข็งมากขึ้นครับ”
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ตารางแพทย์ออกให้บริการผู้ป่วยโรคเรื้อรังในรพ.สต.
เดือน สิงหาคม 2555
ลำดับที่ | วันที่ | รพ.สต.ที่ออกตรวจ |
1. | 9 สิงหาคม 55 | รพ.สต.บ้านหลวง |
2. | 14 สิงหาคม 55 | รพ.สต.บ้านด่าน |
3. | 16 สิงหาคม 55 | รพ.สต.นิคม |
4. | 21 สิงหาคม 55 | รพ.สต.โพนสวรรค์ |
5. | 23 สิงหาคม 55 | รพ.สต.นาพู่ |
6. | 28 สิงหาคม 55 | รพ.สต.เชียงหวาง |
7. | 30 สิงหาคม 55 | รพ.สต.คอนเลียบ |
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome
โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มักจะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ แต่ก็อาจจะพบในผู้ใหญ่ได้
โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.
สาเหตุ
โรคปากเท้าเปื่อยเกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Coxsackievirus โดยต้องประกอบด้วยผื่นที่ มือ เท้าและที่ปาก เริ่มต้นเป็นที่ปาก เหงือก เพดาน ลิ้น และลามมาที่มือ เท้า บริเวณที่พันผ้าอ้อมเช่นก้น ผื่นจะเป็นตุ่มน้ำใส มีแผลไม่มากอายุที่เริ่มเป็นคือ 2 สัปดาห์จนถึง 3 ปีผื่นจะหายใน 5-7 วัน
อาการ
อาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ
- ไข้
- เจ็บคอ
- มีตุ่มที่คอ ปาก เหงือกลิ้นโดยมากเป็นตุ่มน้ำมากกว่าเป็นแผล
- ปวดศีรษะ
- ผื่นเป็นมากที่มือรองลงมาพบที่เท้าที่ก้นก็พอพบได้
- เบื่ออาหาร
- เด็กจะหงุดหงิด
ระยะฝักตัว
หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน
การติดต่อ
โรคนี้มักจะติดต่อในสัปดาห์แรก เชื้อนี้ติดต่อจากการสัมผัสเสมหะ น้ำลายของผู้ที่ป่วย หรือน้ำจากผื่นที่มือหรือเท้า และอุจาระ ระยะที่แพร่เชื้อประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว
การวินิจฉัย
โดยการตรวจร่างกายพบผื่นบริเวณดังกล่าว
การรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะโดยมากรักษาตามอาการ
- ถ้ามีไข้ให้ยา paracetamol ลดไข้ห้ามให้ aspirin
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือใช้เกลือ1/2ช้อนต่อน้ำ1แก้วต้องมั่นใจว่าเด็กบ้วนคอได้
- ดื่มน้ำให้พอ
- งดอาหารเผ็ด หรืออาหารเป็นกรดเพราะจะทำให้ปวด
โรคนี้หายเองได้ใน 5-7 วัน
โรคแทรกซ้อน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirus A16 ซึ่งหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่หากเกิดจากเชื้อ enterovirus 71 โรคจะเป็นรุนแรงและเกิดโรคแทรกซ้อน
- ภาวะขาดน้ำ ต้องกระตุ้นเด็กให้รับน้ำให้เพียงพอ หากขาดน้ำรุนแรงจะต้องได้รับน้ำเกลือ
- มีการติดเชื้อซ้ำบริเวณที่เป็นแผล
- อาจจะเกิดชักเนื่องจากไข้สูง ต้องเช็ดตัวเวลามีไข้และรับประทานยาลดไข้
- อาจจะเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- สมองอักเสบได้ ผู้ป่วยจะเกิดอาการ อาเจียน ซึม และชัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหาย
การป้องกัน
โรคมือเท้าปากจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย รวมทั้งน้ำจากตุ่ม และอุจาระ การลดความเสี่ยงของการติดต่อทำได้โดย
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับเด็กที่ป่วย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย สวมถุงมือเมื่อจะทำแผลผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงที่มีคนมาก
- ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีการจับ่อย เช่นลูกบิด โทรศัพท์
- ไม่แบ่งของเล่นกับเด็กปกติ
ควรพบแพทย์เมื่อไร
- ไข้สูงรับประทานยาลดไข้แล้วไม่ลง
- ดื่มน้ำไม่ได้และมีอาการขาดน้ำ ผิวแห้ง ปัสสาวะสีเข็ม
- เด็กระสับกระส่าย
- มีอาการชัก
- แผลไม่หาย
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555
โรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) |
สาเหตุของโรค
|
เกิดจากไวรัสเดงกีซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อตรั้งแรกมักจะมีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่ 2 โดยเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการมักจะรุนแรงถึงขั้นเลือดออกหรือช็อค หรือเสียชีวิต โรคนี้พบมาก ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
|
การติดต่อ
|
โรคนี้ติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลาย (Aedes aegypt ) เป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุงหลังจากนั้นยุงจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวตลอดอายุของมัน (ประมาณ 1-2 เดือน) และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้ ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ภายในบ้านและบริเวณบ้าน มักจะกัดเวลากลางวัน แหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำใสที่ขังอยู่ตามภาชนะเก็บน้ำต่างๆ เช่น โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ กระถาง ยางรถ เป็นต้น โดยทั่วไปโรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เนื่องจากเด็กมักอยู่ในบ้านมากกว่าฤดูอื่นๆ และยุงลายมีการแพร่พันธุ์มากในฤดูฝน แต่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ อาจพบโรคนี้ได้ตลอดปี
|
อาการ
|
ในการติดเชื้อไวรัสแดงกีครั้งแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (80-90%) จะไม่แสดงอาการ ผู้มีอาการจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และมีผื่นที่ผิวหนังได้ แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่สอง โดยเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาจเป็นไข้เลือดออก ซึ้งมีอาการสำคัญแบ่งแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ
|
1. ระยะไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา เด็กบางคนอาจชัก เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มักมีหน้าแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา ระยะนี้จะเป็นอยู่ราว 2-7 วัน
|
2. ระยะช็อค ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง ผู้ป่วยจะซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะออกน้อย อาจมีเลือดออกง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ในรายที่รุนแรง จะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อค และอาจถึงตายได้ ระยะนี้กินเวลา 24-48 ชั่วโมง
|
3.ระยะพักฟื้น อาการต่างๆจะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามลำตัว
|
การวินิจฉัย
|
เกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกในการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก คือ มีไข้สูง มีเลือดออกง่าย (ทดสอบโดยการรัดแขนแล้วพบจุดเลือดออกตามร่างกาย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน) เจ็บชายโครงขวาเนื่องจากตับโต ช็อค ตรวจเลือดพบเกล็ดเลือดต่ำ เลือดข้นขึ้น และอาจตรวจน้ำเหลืองหรือเพาะเชื้อไวรัสจากเลือด เพื่อยืนยันการวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม ในระยะ 1-2 วันของไข้ อาจมีอาการไม่ชัดเจน ผลเลือดอาจจะยังปกติ จึงต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและเจาะเลือดซ้ำถ้าอาการไม่ดีขึ้น
|
การรักษา
|
เนื่องจากยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยให้ยาพาราเซทตามอลในช่วงที่มีไข้สูง ห้ามให้ยาแอสไพริน เพราะจะทำให้เลือดออกรุนแรงขึ้น ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ยาแก้คลื่นใส้และให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ป้องกันภาวะช็อคได้ ระยะที่เกิดช็อคส่วนใหญ่จะเกิดพร้อมๆกับช่วงที่ไข้ลดลง ผู้ปกครองควรทราบอาการก่อนที่จะช็อค คือ อาจมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อมๆกับไข้ลดลง หน้ามืด เป็นลมง่าย หากเป็นดังนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
|
การป้องกัน
|
|
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
โรคไข้ฉี่หนู หรือเลปโตสไปโรซิส ( Leptospirosis )
ข่าวจากกรมควบคุมโรค เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2555 แจ้งเตือน “หนูออฟฟิศ” เสี่ยงโรคไข้ฉี่หนูเช่นกัน การติดต่อไม่แค่เดินย่ำน้ำ อาหาร-น้ำดื่ม-การหายใจก็มีโอกาส ติดเชื้อได้ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า “โรคไข้ฉี่หนู” หรือ “เลปโตสไปโรซิส” พบได้เฉพาะในท้องทุ่งนาหรือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง “หนู” ที่อาศัยตามอาคารบ้านเรือน สำนักงานต่างๆ ก็เป็นพาหะของโรคเช่นเดียวกัน สถานการณ์การระบาดของโรคไข้ฉี่หนู ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ตั้งแต่ 1 มกราคม - 14 ธันวาคม 2554 พบผู้ป่วยทั่วประเทศจำนวน 3,699 คน เสียชีวิต 66 คน คิดเป็นอัตราป่วยเฉลี่ย 5 คนต่อประชากรแสนคน ถือว่ายังต้องพัฒนาแผนการเฝ้าระวังให้มากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้ได้รับทราบความรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกัน เรามาทำความรู้จักโรคไข้ฉี่หนูกันดีกว่าค่ะ โรคไข้ฉี่หนู (Leptospirosis) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์ที่ระบาดในคน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เลปโตสไปร่า (Leptospira) มักจะพบการระบาดในฤดูฝนเชื้อจะปะปนอยู่ตามดิน โคลน แหล่งน้ำ น้ำตก แม่น้ำ ลำคลองได้นานเป็นเดือน เคยมีรายงานว่าอยู่ได้นาน 6 เดือนในที่ที่มีน้ำท่วมขัง โดยมีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสม เช่น มีความชื้น แสงส่องไม่ถึง มีความเป็นกรดปานกลาง การติดต่อของโรค สัตว์ที่นำเชื้อได้แก่พวกสัตว์แทะ เช่น หนู โดยเฉพาะ หนูนา หนูพุก รองลงมาได้แก่ สุนัข หมู วัว ควาย สัตว์เหล่านี้อาจไม่แสดงอาการใดๆ แต่จะมีการติดเชื้อที่ท่อไต และปล่อยเชื้อออกมากับปัสสาวะได้นานเป็นปีเลยทีเดียว เมื่อคนสัมผัสเชื้อที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเข้าทางแผล เยื่อบุในปากหรือตา บางรายงานระบุว่าผิวหนังปกติเชื้อก็สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ คนเรารับเชื้อได้ 2 วิธี ทางตรง โดยการสัมผัสสัตว์ที่นำเชื้อ ระหว่างสัตว์ต่อสัตว์ หรือคนต่อคนโดยเพศสัมพันธ์ ทางอ้อม โดยเชื้อที่ปนในน้ำ ในดิน เข้าสู่คนทางผิวหนัง หรือเยื่อบุที่ตา ปาก จมูก อาการของโรคที่สำคัญ
| |||||
ที่มา http://www.phyathai.com/phyathai/new/th/specialcenter/popup_cms_tech_detail.php?cid=95&mid=Tips&subject=%E2%C3%A4%E4%A2%E9%A9%D5%E8%CB%B9%D9%20%CB%C3%D7%CD%E0%C5%BB%E2%B5%CA%E4%BB%E2%C3%AB%D4%CA%20(Leptospirosis)
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555
สรุป7วันอันตรายตายเพิ่ม ปิดยอดเป็น 320 ราย
วันพุธที่ 18 เมษายน 2555 เวลา 10:38 น.
ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วันนี้ (18 เม.ย.) เวลา 11.00 น.นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ได้เดินทางมาเป็นประธานปิดศูนย์แถลงตัวเลขสถิติอุบัติเหตุของวันที่ 17 เม.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของช่วง 7 วันอันตราย ว่า ได้มีอุบัติเหตุเกิดทั้งหมด 257 ครั้ง โดยจังหวัดนครสวรรค์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด 12 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 38 ราย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตสูงสุดอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมาและหนองบัวลำภู จังหวัดละ 4 ราย บาดเจ็บ 261 ราย สูงสุดอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ 15 ราย
สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน ระหว่าง วันที่ 11-17 เม.ย.55 เกิดอุบัติเหตุสะสมทั้งหมด 3,129 ครั้ง จังหวัดเชียงรายเกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด 125 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตสะสม 320 ราย สูงสุดอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 13 ราย บาดเจ็บสะสม 3,320 ราย ผู้เสียชีวิตสูงสุดอยู่ที่จังหวัดเชียงราย 124 ราย สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ยังคงเป็นเมาสุรา ร้อยละ 39.21 (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 0.45) รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 21.57 ซึ่งทั้ง 2 สาเหตุนี้เป็นเหมือนกันทุกปี เช่นเดียวกับยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ยังคงเป็นรถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.14 รองลงมาคือ รถกระบะ ร้อยละ 9.72 ถนนที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือ ถนน อบต.และถนนในหมู่บ้าน ร้อยละ 36.05 รองลงมาคือ ทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 34.93 สำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มีที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ร้อยละ 27.66 (ลดลงกว่าปีที่แล้ว ร้อยละ 0.42)
ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มีทั้งหมด 6 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคอีสาน 1 จังหวัด คือ นครพนม ภาคกลาง 1 จังหวัด คือ ตราด ภาคใต้ 4 จังหวัด คือ ตรัง , ปัตตานี , ระนอง , สตูล โดยจังหวัดนครพนมและตรัง จัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดโซนสีเหลือง (ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตไม่เกิน 40 ราย) ปีนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต จะได้รับเงินรางวัลจังหวัดละ 3 แสนบาท ส่วนจังหวัดระนอง , ปัตตานี , ตราด , สตูล จัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดโซนสีขาว (ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตไม่เกิน 15 ราย) ปีนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต จะได้รับเงินรางวัลจังหวัดละ 5 หมื่นบาทและเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว 2554 เกิดอุบัติเหตุสะสม 7 วัน 3,215 ครั้ง / เสียชีวิตสะสม 271 ราย / บาดเจ็บสะสม 3,476 ราย / เท่ากับว่าสงกรานต์ปีนี้ มีผู้เสียชีวิตสูงกว่าปีที่แล้ว 49 ราย
ที่ห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลาง จ.ตรัง นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.ตรัง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2555 เป็นประธานในการแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. พบว่า จ.ตรังเกิดอุบัติเหตุ 72 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 85 คน แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยถือเป็นปีแรกของจ.ตรัง ที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
รมช.สธ.เตือนอันตรายกินเมล็ดสบู่ดำ...อาจถึงตาย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนอันตรายจากสบู่ดำมีสารพิษที่ทำให้เสียชีวิตได้ แต่ละปีมีรายงานผู้ป่วยจำนวนมากที่ได้รับพิษจากการกินเมล็ดสบู่ดำ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆ อายุระหว่าง 3-15 ปีที่กินด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่าสารสกัดจากเมล็ดสบู่ดำมีสรรพคุณทางยา แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงสูง
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าปัจจุบันมีการปลูกต้นสบู่ดำกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในบ้าน โรงเรียนและพื้นที่แปลงเกษตร เพื่อนำเมล็ดมาสกัดเป็นไบโอดีเซลทดแทนน้ำมันดีเซล แต่ไม่ได้เตือนถึงอันตรายของสบู่ดำ ทำให้ในแต่ละปีมีรายงานผู้ที่ได้รับพิษจากการกินเมล็ดสบู่ดำจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆ อายุระหว่าง 3-15 ปีที่กินด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งทุกส่วนของสบู่ดำ ทั้งใบ ยาง ผล และเมล็ดมีความเป็นพิษ โดยเฉพาะเมล็ดสบู่ดำเป็นส่วนที่มีพิษเคอซิน (curcin) มาก หากกินเมล็ดเข้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด ในรายที่อาการรุนแรงอาจมีอาการมือและเท้าเกร็ง หายใจหอบ ความดันเลือดต่ำ หัวใจเต้นผิดปกติ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากเป็นสายพันธุ์ที่มีสารพิษสูง กินเพียง 3 เมล็ดก็เกิดอันตรายได้ สำหรับวิธี ปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากพบผู้ป่วยกินเมล็ดสบู่ดำ ให้ดื่มนมจำนวนมากๆ ทำให้อาเจียน หรือใช้ผงถ่านกัมมันต์ เพื่อดูดซับสารพิษและรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ส่วนยางสบู่ดำมีสารพิษโฟบอลเอสเทอร์ (Phorbal estor) หากน้ำยางของสบู่ดำถูกผิวหนังจะเกิดการแพ้ ระคายเคือง ปวดแสบอย่างรุนแรง ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำสบู่ทันที
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่ออีกว่า ต้นสบู่ดำ ภาคเหนือเรียกว่า ละหุ่งฮั้ว ภาคอีสานเรียก มะเยา สีหลอด ภาคใต้เรียก หงเทศ มีลักษณะเป็นไม้พุ่มสูง 3-5 เมตร มียางเหนียวสีเหลือง ผลมีรูปรี ผิวเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่จะมีสีเหลืองแล้วเป็นสีน้ำตาลดำ เมื่อแก่จัดจะแตกเป็น 3 พู แต่ละพูมี 1 เมล็ด โดยสบู่ดำมีสรรพคุณใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนไทย แต่ต้องใช้โดยผู้ที่มีความรู้ การศึกษาวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าสารสกัดเอทานอลของเมล็ดสบู่ดำ เมื่อทำการทดสอบในหลอดทดลองมีฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อเอชไอวี ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม นอกจากนี้ยังได้ทำการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่า ยาแคปซูลของสารสกัดแยกส่วนจากสารสกัดเอทานอลของเมล็ดสบู่ดำ ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงในผู้ป่วยบางราย คือ ท้องเดิน หรือเกิดอาการซีดและแม้ว่าได้ทำการแยกส่วนสกัดย่อยลงไปอีกก็ยังพบว่ายามีผลต่อการกดภูมิต้านทานแบบผันกลับได้ในผู้ป่วยเอดส์ ดังนั้นแม้ว่าการวิจัยทางคลินิกจะยุติลงเนื่องจากพบอาการข้างเคียง แต่หากมีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง โดยศึกษาการแยกสกัดสารที่ก่อให้เกิดฤทธิ์ข้างเคียงจากสารออกฤทธิ์ในเมล็ดสบู่ดำได้ รวมทั้งพัฒนาอนุพันธุ์ของสารออกฤทธิ์หรือศึกษาวิจัยในเรื่องฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ เช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ฉวยโอกาส กระตุ้นภูมิต้านทาน ฯลฯ สบู่ดำก็จะเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นยาสำหรับมนุษย์ต่อไป
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
21 กุมภาพันธ์ 2555
ที่มา http://www.moph.go.th/ops/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=45003
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การให้บริการออกตรวจโรคของแพทย์จากโรงพยาบาลอุดรธานี
กำหนดการแพทย์ออกตรวจโรคประจำเดือน มีนาคม 2555
วันที่ 13 และ 27 มีนาคม 2555 เวลา 09.00 - 12.00 น.
ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาพู่
วันที่ 13 และ 27 มีนาคม 2555 เวลา 09.00 - 12.00 น.
ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาพู่
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
แจ้งการรับวัคซีนประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2555
การรับวัคซีนประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2555
แจ้งรับได้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
จึงขอเรียนเชิญนำเด็กอายุ 0-5 ปีเข้ารับวัคซีน
ในเวลา 09.00-12.00 น.
ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาพู่
แจ้งรับได้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
จึงขอเรียนเชิญนำเด็กอายุ 0-5 ปีเข้ารับวัคซีน
ในเวลา 09.00-12.00 น.
ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาพู่
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)